ภาษาทุกภาษาในโลกนี้ล้วนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง จริงอยู่ที่อาจมีความคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง
แต่ก็ใช่ว่าจะเหมือนกันไปเสียทุกอย่าง
การถ่ายทอดข้อความหรือการแปลจากภาษาไปเป็นอีกภาษาหนึ่ง อาทิ การแปลภาษาจีน จึงมักจะไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ก็ใช่ว่าจะยากเกินความสามารถของมนุษย์เรา
ก่อนที่จะไปถึงขั้นการแปลภาษาจีนเป็นภาษาไทย
หรือการแปลภาษาไทยเป็นภาษาจีน
เราจึงควรเตรียมตัวให้พร้อมด้วยพื้นฐานตั้งแต่เริ่มต้น
และการศึกษาลักษณะพิเศษของภาษาจีนก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งพื้นความรู้
ที่จะช่วยก่อร่างให้เราเป็นผู้แปลภาษาจีนที่เชี่ยวชาญได้ต่อไปในอนาคต
สองอาวุธชั้นดีที่ยิ่งรู้ก็ยิ่งเข้าใจ
1. ระบบคำศัพท์ ในภาษาจีนและไทยมีความคล้ายคลึงกันคือเป็นคำโดดๆ
เพียงพยางค์เดียว และนำรากศัพท์มาประสมกันจนเกิดเป็นคำใหม่
การประกอบคำในภาษาจีนนั้น นอกจากใช้รากศัพท์มาประสมกันแล้ว ก็ยังมีหลากหลายวิธี
เช่น เพิ่มคำลงท้ายในคำพยางค์เดียว การซ้ำคำ การซ้อนคำ และอื่นๆ
จนทำให้จีนมีคำศัพท์หลายหมื่นคำ ข้อควรระวังในการประสมคำคือ
ส่วนขยายต้องอยู่ข้างหน้าของส่วนที่ต้องการขยายเสมอ เช่น书 (หนังสือ) + 店 (ร้าน) = ร้านหนังสือ เป็นต้น
สิ่งที่น่าประหลาดคือ
รูปแบบการสร้างคำ การใช้ และสำนวนอุปมาอุปมัยในภาษาจีนนั้นไม่ได้ต่างกันแบบต่อกันไม่ติดกับภาษาไทย
ซ้ำยังสัมพันธ์กันไม่น้อย จึงทำให้การแปลภาษาจีนเป็นไทยนั้นทำได้แบบตรงตัว
ไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมให้ยุ่งยาก อีกทั้งภาษาจีนนั้นอาศัยการเรียงคำเป็นหลักเช่นเดียวกับภาษาของเรา
ระบบคำศัพท์ โดยเฉพาะคำกริยา วิเศษณ์ และสันธาน
รวมถึงความหมายและวิธีใช้ก็สามารถเทียบเคียงได้กับภาษาไทย
เราจึงอาจใช้ความเคยชินในภาษาของเรามาช่วยในการแปลภาษาจีนได้ส่วนหนึ่ง
2. ระบบไวยากรณ์ ดังที่กล่าวไปว่าการเรียงคำเพื่อสร้างประโยคขึ้นมานั้นไม่ได้ต่างจากภาษาไทยมากนัก
คือ มีประธาน กริยา กรรม
หากเปลี่ยนลำดับการเรียงประโยคก็อาจจะไม่ได้มีความหมายตามเดิม
หรือไม่มีความหมายใดๆ เลยก็ได้
อีกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าระบบไวยากรณ์ของจีนไม่ต่างจากไทยก็คือ
จีนไม่มีกริยาแสดงเวลาเหมือนอย่างในภาษาอังกฤษ
หากแต่ใช้คำวิเศษณ์มาเป็นตัวบอกเวลาเช่นเดียวกับภาษาไทย
นอกจากนั้นแล้วภาษาจีนยังมีการคำสันธานเพื่อเชื่อมคำ เชื่อมประโยคด้วยเช่นกัน
รวมทั้งยังมีการใช้ลักษณะนามด้วย โดยวิธีใช้ลักษณะนามก็จะขึ้นอยู่กับวัตถุ สิ่งของ
หรือเหตุการณ์นั้นๆ ในประโยค ซึ่งก็ไม่ต่างจากภาษาไทยเรา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น